วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิธีการเลือกสินค้า Amazon

วันนี้เรามาว่ากันเรื่อง การเลือกสินค้า Amazon กันดีกว่า ว่าเราควรขายสินค้าตัวไหน ตลาดไหน ช่วงเวลาไหน ก่อนอ่านบทความนี้ผมอยากให้ย้อนไปอ่านบทความเรื่อง รู้จักกับ Amazon Bestseller กันก่อน
เรื่องการทำความรู้จักกับ Amazon Bestseller นั้นเป็นสิ่งจำเป็นถึงจำเป็นมากที่สุดในการทำตลาดขายสินค้ากับ Amazon เนื่องจาก Bestseller จะบอกให้เรารู้ได้ว่า เค้านิยมซื้ำอสินค้าอะไรกันในช่วงเวลานั้น ๆ แต่ Amazon Bestseller ก็ยังไม่ใช่ที่สุดของการเลือกหาสินค้ามาทำตลาด มาโปรโมตเนื่องจากยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายในการเลือกสินค้าที่ทำเงิน
สำหรับวิธีการเลือกสินค้าที่ทำเงินใน Amazon.com นั้นผมมีแนวทางหลัก ๆ คือ
  • สินค้านั้น ๆ ต้องเป็นที่ต้องการของตลาด คือเราจำเป็นจะต้องเลือกสินค้าที่มีคน ค้นหา และมีคนซื้อ และการซื้อนั้น ๆ จะต้องเกิดขึ้นบนอินเตอร์เน็ต
  • สินค้านั้น ๆ ต้องมีคู่แข่งที่ไม่เยอะจนเกินไป ซึ่งข้อนี้จะคัดง้างกับข้อแรกอย่างรุนแรง เนื่องจากสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด ก็จำเป็นต้องมีคู่แข่งมากตามไปด้วย แต่เนื่องจาก Amazon มี สินค้าให้เลือกทำตลาดมากมายเหลือเกิน จึงไม่เป็นการยากเกินไปนัก ที่จะหาสินค้าที่เข้าหลักเกณฑ์ทั้งสองข้อได้ ก็คือสินค้าที่เป็นนิช คือ มีคนค้นหา มีคนซื้อ และที่สำคัญ คู่แข่งน้อย
  • สินค้าต้องมีราคาถูก หรือไกล้เคียงกับเว็บไซต์อื่น ๆ และเงื่อนไขในการส่งสินค้าต้องรวดเร็ว มีสินค้าอยู่ในสต๊อค (หลัง ๆ นี่ผมพบปัญหาบ่อยคือสินค้า ที่ถูก Order มาค้างไว้ แต่ไม่ถูกส่งออกไปให้ลูกค้า ทำให้เราไม่ได้ค่าคอมมิสชั่น)
  • สินค้านั้น ๆ จะต้องเป็นสินค้าที่ “ถูกที่ ถูกเวลา” ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้เป็นหน้าหนาวของฝั่งอเมริกา หิมะตก ผมจะไม่สนใจร้านขายกล้องถ่ายรูปเ่ลย เนื่องจากผมเข้าใจว่า คงไม่มีใครมีอารมณ์ท่องเที่ยวสักเท่าไร และความต้องการในการซื้อกล้องถ่ายรูปก็คงน้อยตามไปด้วย ดังนั้นถ้าร้านขายกล้องถ่ายรูปจะขายไม่ได้ผมก็จะปล่อยมัน เอาเวลาไปทำ SEO ให้กับร้านขายรองเท้าใส่ลุยหิมะดีกว่า (ตัวอย่างเท่านั้นนะครับ)
และการเลือกสินค้า Amazon ยังแบ่งแยกย่อยได้อีกสามกลุ่มด้วยกันคือ
  1. สินค้าราคาถูก กลุ่มสินค้าพวกนี้จะเป็นสินค้าประเภท CD,DVD,หนังสือ,ของใช้ในบ้าน ราคาไม่ถึง 100 USD สินค้าในกลุ่มนี้จะขายค่อนข้างง่าย และขายได้เยอะ โดยที่จะทำตลาดสินค้ากลุ่มนี้เพื่อเร่งจำนวนสินค้า เพื่อให้ค่าคอมมิสชั่นที่ได้มีค่าสูงขึ้น เนื่องจาก รูปแบบของ เปอร์เซ็นต์ ค่าคอมมิสชั่นของ Amazon จะจ่ายแบบเป็นลำดับขั้น กล่าวคือ Amazon จะเพิ่มค่าคอมมิสชั่นให้ตามจำนวนสินค้าที่ขายได้ โดยไม่สนใจว่าสินค้านั้น ๆ จะมีราคาเท่าไร โดยการคิดค่าคอมมิสชั่นจะเริ่มต้นที่ 4% – 8.5% ่ของราคาสินค้า ดังตารางด้านล่าง
    Referral-fee Rates Amazon
    Referral-fee Rates Amazon
  2. สินค้าราคาแพง แต่ไม่ใช่สินค้าที่เป็น Electronic Product สินค้าที่ขายราคาจะประมาณ $150 ขึ้นไป สินค้ากลุ่มนี้จะขายยากหน่อย แต่ถ้าขายได้ในขณะที่คอมมิสชั่นเราอยู่ในเรทสูง ๆ ล่ะก็หายเหนื่อยเลยครับ
  3. สินค้าประเภท Electronic Product โดยสินค้าประเภทนี้จะจ่ายค่าคอมมิสชั่นแบบ Classic Fee Structure กล่าว คือจะจ่ายค่าคอมมิสชั่นเพียง 4% ตายตัวไม่มีเพิ่มแม้ว่าจะขายสินค้ากี่ชิ้นก็ตาม แต่ข้อดีของสินค้ากลุ่มนี้คือเป็นสินค้าที่ขายง่าย ขายออกเร็วส่งเร็ว ถึงแม้ว่าไม่มีลุ้นกับค่าคอมมิสชั่นที่มากขึ้น ผมก็ยัีงต้องขายมันอยู่ดี
สำหรับผมแล้วผมเลือกทำสินค้าทั้งสามตลาดครับ ให้สินค้าราคาถูกเพิ่มคอมมิสชั่นให้เรา และให้สินค้าราคาแพงทำยอดเงินต่อชิ้น สุดท้าย สินค้าอิเล็กทรอนิคส์ ที่ยังไงก็ขายได้ ..

1 ความคิดเห็น:

  1. นี่คือประกาศสาธารณะสำหรับทุกคนที่ต้องการขายไตเรามีผู้ป่วยที่ต้องการการปลูกถ่ายไตดังนั้นหากคุณสนใจที่จะขายไตโปรดติดต่อเราทางอีเมลของเราที่ iowalutheranhospital@gmail.com
    นอกจากนี้คุณยังสามารถโทรหรือเขียนถึงเราได้ที่ whatsapp ที่ +1 515 882 1607

    หมายเหตุ: รับประกันความปลอดภัยของคุณและผู้ป่วยของเราได้ตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวนมากให้กับทุกคนที่ตกลงที่จะบริจาคไตเพื่อช่วยพวกเขา เราหวังว่าจะได้ยินจากคุณเพื่อให้คุณสามารถช่วยชีวิต

    ตอบลบ